หลังจากไปถ่ายรูปกับออโรรา พี่นิดหน่อยก็แวะมาส่งเราที่ใกล้ ๆ บ้านพักด้วยเวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่า ซึ่งก็ถือว่าไปนานพอสมควร ด้วยความที่ทัวร์จบแต่เราไม่จบบบ 555 ก็เลยพยายามเดินหาถ่ายรูประหว่างเดินกลับที่พัก ก็ได้วิวที่ประทับใจมาก แม้จะไม่ค่อยชัด 555
พอกลับมาถึงบ้านพัก เราก็เจอเพื่อนร่วมบ้าน 2 คนที่มาล่าแสงเหนือเหมือนกัน ซึ่งทั้งคู่เป็นนักศึกษาหญิงที่เป็นคนสิงคโปร์แต่เรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เราก็แชร์ประสบการณ์กัน พวกเธอเล่าว่าได้ขึ้นไปตั้งแคมป์บนภูเขา ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเหนือเมฆขึ้นไป ยังไงก็เห็นออโรราแน่นอน พร้อมกับเอารูปให้ดู สวยมากกกก อยากไปบ้างเลย แต่เขาก็บอกว่าโหดอยู่นะ เส้นทางที่ขึ้นไป 5555 จากนั้นเขาก็บอกว่า สามารถถ่ายรูปออโรราได้จากที่บนห้องด้วย เราก็เลยขอไปดูและขอถ่ายรูปบ้าง เพราะห้องนอนเราเปิดหน้าต่างไปแล้วเจอต้นไม้บังวิวหมด 5555
คุยไปคุยมาก็ตีหนึ่งกว่า ๆ (ซึ่งคืนวันนี้หมดเวลา daylight saving time พอดีก็เลยปรับเป็น 5 ชั่วโมง จริง ๆ คือตีสองกว่าแต่กลายเป็นตีหนึ่งกว่า 5555) เอาจริง ๆ ตอนตีสามตีสี่เราก็ยังออกไปนอกบ้านเพื่อจะถ่ายรูปต่ออยู่อีกนะ แต่พอถ่ายไปแล้วก็ไม่เห็นแล้ว ซึ่งเราก็ออกไปเป็นพัก ๆ อยู่นานไม่ได้หนาวมาก 5555 แต่ช่วงที่ออกไปก็ถ่ายไม่เห็นแล้วก็เลยล้มเลิกและไปนอน บอกแล้ว ว่าทัวร์จบแต่คนไม่จบจ้าาา 555555
สาย ๆ ของวันที่ 25 เราอยากไปมหาวิทยาลัยในเมืองนั้นมากเพราะรู้จักผู้ร่วมวิจัยของ co-advisor ของเรา เผื่อจะแวะไปทักทาย แต่ว่าหิมะตกหนักซะก่อนก็เลยล้มเลิก และก็เตรียมตัวเดินทางกลับด้วยความรู้สึกที่ยังอยากอยู่ต่ออยู่เลย ประทับใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากสำหรับทริปนี้
และแล้วก็มาถึงท้ายที่สุดของบทความนี้แล้วนะคะ เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับทริปตะลุยออโรราของเรา ขอบคุณที่ร่วมทริปด้วยกันมาจนถึงตรงนี้นะคะ ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้เราได้เพิ่มความกล้าที่จะทำอะไรที่เราเคยฝันไว้มากขึ้น แล้วความฝันของเพื่อน ๆ ล่ะคะ คืออะไร? ^-^
ท้ายสุดนี้เราก็อยากจะขอฝากไว้ว่า ถ้าเราอยากจะทำอะไรสักอย่างที่มีคุณค่าต่อตัวเราเองมากๆ ซึ่งถ้าเราได้มีโอกาสนั้นเข้ามาแล้ว อย่ากลัวที่จะคว้าไว้และสนุกไปกับมันนะคะ เป็นกำลังใจให้กับคนที่มีความฝันเหมือนกันกับเรา ไม่ว่าจะในเรื่องอะไร ก็ขอให้ได้ทำมันและไปให้สุดนะคะ และก็ขอลากันไปด้วยภาพสวย ๆ จากจุดชมวิว (ที่เราเคยคิดไว้ว่าจะได้ถ่ายภาพประมาณนี้ 555) ที่สนามบินนะคะ ขึ้นเครื่องก่อนนะ บ้ายบายจ้า ฟิ้ววว